อกหักแค่ไหนก็ยังทำงานได้

          เป็นเรื่องปกติของชีวิตที่เมื่อมีสุขก็ย่อมมีทุกข์สลับหมุนเวียนกันไป วันนี้คุณได้หัวเราะสุดเสียง แต่พรุ่งนี้อาจจะกลายเป็นวันที่คุณจะต้องร้องไห้แทบขาดใจ และหนึ่งในความทุกข์ยอดนิยมของคนเราที่ทำให้วันทั้งวันไร้ความหมายก็คือ “การไม่สมหวังในความรัก” หรือที่เราเรียกกันสั้น ๆ ว่า “อกหัก” ที่เป็นต้นเหตุของโรคซึมเศร้าในหมู่คนยุคใหม่ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา ชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป ทุกคนมีงานและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่อาจจะหยุดรอให้สภาพจิตใจของคุณพร้อมได้ ดิฉันเข้าใจดีค่ะว่า การที่ต้องตื่นเช้าและทำให้ตัวเองพร้อมกับการไปทำงานทั้ง ๆ ที่คุณกำลังอกหักเป็นเรื่องที่เปลืองพลังใจที่คุณมีเป็นอย่างมาก การที่ต้องวางพายุอารมณ์ในใจคุณเอาไว้ แล้วเริ่มต้นทำงานโดยพยายามไม่สนใจว่าความรู้สึกของคุณจะเป็นอย่างไร เพราะเรารู้ดีว่าที่ทำงานไม่ใช่ที่ที่เราจะไปร้องไห้ฟูมฟายอาลัยอาวรณ์ชีวิตรักได้อย่างที่ใจต้องการ

          การที่เราต้องติดอยู่ตรงเส้นบาง ๆ ระหว่างความเจ็บปวดกับความจริง มีแต่จะทำให้ชีวิตยากขึ้น เพราะอาการอกหักจัดอยู่ในอันดับแรก ๆ ของรายชื่อความรู้สึกที่ยากจะรักษาสีหน้าให้เป็นปกติเอาไว้ได้ เรามาดูกันว่าจะมีวิธีใดบ้างที่จะช่วยทำให้เราจัดการกับตัวเองให้สามารถทำงานได้อย่างดีเยี่ยมแม้ว่าใจของคุณกำลังแหลกเหลวก็ตาม

                   

1. บอกหัวหน้าของคุณ

          มันอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะบอกหัวหน้าของคุณว่าคุณกำลังพบเจอเรื่องอะไรอยู่ พวกเขาอาจจะไม่เข้าใจ แล้วมองว่าคุณเป็นคนที่ไม่รู้จักแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงาน แต่เมื่อถึงจุกหนึ่งคุณจำเป็นต้องแจ้งเรื่องนี้กับหัวหน้าของคุณในกรณีที่คุณต้องการเวลาสำหรับการจัดการกับสภาวะซึมเศร้า และการรับมือกับความรู้สึกที่คุณต้องเดินผ่านการหย่าร้าง หรือคดีความ คุณไม่จำเป็นจะต้องรับมือกับความเศร้าเพียงลำพัง บางครั้งความรักและกำลังใจจากคนรอบข้างก็อาจจะเป็นพลังที่ทำให้คุณกลับมาเข้มแข็งได้เร็วอย่างที่คุณคาดไม่ถึงด้วยซ้ำไป

 

2. พุ่งความสนใจไปที่งานของคุณ

          พยายามทำและสนใจงานเมื่อคุณอยู่ที่ทำงาน อย่าปล่อยให้อารมณ์ของคุณมาเบียดบังเวลาที่คุณควรเอาไปทำสิ่งที่มีประโยชน์และช่วยส่งเสริมอาชีพของคุณ แทนที่คุณจะใช้เวลาไปกับการนึกถึงใครบางคนที่ไม่เหมาะสมที่จะอยู่กับคุณ เปลี่ยนเป็นนึกถึงสิ่งที่คุณมีและสิ่งที่คุณชอบ งานของคุณจะช่วยรู้สึกดีและมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

 

3. อย่าเสียเวลาไปกับการหาสาเหตุว่าทำไมเรื่องถึงออกมาเป็นอย่างนี้

          อย่าลงทุนเวลาของคุณไปกับการหาเหตุผลว่าทำไมคุณถึงต้องเลิกกับเขา และไม่ต้องสนใจว่าทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้น ใช้เวลาที่คุณมีไปกับการสร้างอนาคตใหม่ ๆ ดีกว่า บุคลิกของคนบางคนก็ไม่สามารถที่จะทนอยู่กับความพ่ายแพ้เล็ก ๆ ในเรื่องความรักได้ โดยเฉพาะเมื่อเขาถูกทิ้ง ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใดก็ตามการเกลียดตัวเองและพยายามจะหาว่าคุณผิดตรงไหนเป็นเรื่องที่เสียเวลาไปอย่างไร้ค่ามาก แต่ถ้าการทำแบบนั้นจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น ก็ทำมันค่ะ  แต่คุณต้องมันใจว่าทำให้ดีขึ้นจริง ๆ เพราะถ้ายิ่งคิดถึงสาเหตุแล้วมีแต่จะทำให้คุณร้องไห้และเศร้าหนักกว่าเดิม ก็ควรหยุดตัวเองไม่ให้ใช้เวลาของคุณไปอย่างสูญเปล่ากับสิ่งที่ส่งผลร้ายต่อตัวคุณเอง

One of the hardest things to do in life, is letting go of what you thought was real

หนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดที่จะทำได้ในชีวิต คือการปล่อยว่างสิ่งที่คุณคิดว่ามันคือความจริง

 

4.มองหัวใจที่แตกสลายของคุณเป็นสหายศึกที่ร่วมฝ่าฟันสมรภูมิที่ทรงเกียรติ

          -ขั้นต่อไปที่คุณจะต้องจัดการกับหัวใจของคุณคือการขจัดความกลัวและอนุญาตให้ใจของคุณได้รักใครสักคนอีกครั้ง นี่คือความรู้สึกที่สวยงามและมีอิสระที่สุดในชีวิต การอยู่กับผลลัพธ์ที่เกิดจากความกล้าเป็นเรื่องสำคัญในสถานการณ์อย่างนี้ และการปฏิเศษความรักคือผลลัพธ์ที่คุณจะต้องรับมือในเวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างถาโถมเข้ามาหาคุณ

 

          ความรัก คือความรู้สึกที่สวยงามที่สุดที่คุณจะมีโอกาสได้รับมันเข้ามาอยู่ในชีวิตและเพียงช่วงหนึ่งเท่านั้น ตลอดช่วงเวลาของความรักจึงไม่ได้มีแค่คุณรักเขาแล้วเขาทิ้งคุณ ความรักมีมากกว่านั้น มีความรู้สึกละมุมละไมของความเป็นห่วงทะนุถนอม มีความรู้สึกที่รุนแรงเร่าร้อน ความรู้สึกเจ็บปวดทรมาน กระวนกระวายเป็นห่วง หากหลายมากมายมาประกอบกันเป็นความรัก ดังนั้น การรับมือกับการอกหักจึงไม่ใช่การพยายามขจัดความเจ็บปวดออกไป แต่มันคือการอนุญาตให้ตัวคุณเองได้เสียใจ เจ็บปวด และร้องไห้ให้พอในเวลาที่คุณสะดวกใจที่จะทำมัน หรือถ้าคุณต้องการจะระบายมันออกมา ก็แค่หาเพื่อนที่ไว้ใจได้สักคน แล้วก็พูดมันออกไป และเมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกตัวว่าคุณกำลังใจสลาย ให้คุณคุยกับคนในกระจก ดิฉันเชื่อว่าเขาคือคนที่จะเข้าใจดีที่สุดว่าคุณกำลังรู้สึกเลวร้ายแค่ไหน  และฉันขอสัญญาเลยว่า เขาจะไม่มีวันตัดสินคุณ ไม่แม้เพียงสักนิดอย่างแน่นอนค่ะ

 

ที่มา : www.sarahnamulondo.com

ภาพจาก www.healthline.com

Admin : Gossy