การบริหารเงินไม่ใช่สิ่งที่บรรจุเป็นวิชาใช้สอนกันในโรงเรียนอย่างแพร่หลาย แต่เป็นสิ่งที่เกือบทุกคนจะต้องเรียนรู้และจัดการกับชีวิตของพวกเขาในภายหลัง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจของประเทศที่กำลังย่ำแย่ การวางแผนบริหารจัดการเงินอย่างรอบครอบจะช่วยให้คุณสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้แม้ว่าเศรษฐกิจรอบตัวคุณจะย่ำแย่แค่ไหน
1. การวางแผนการเงิน
ขั้นตอนแรกของการวางแผนการใช้เงิน คือ การสำรวจอุปนิสัย เงื่อนไข วิธีการใช้เงิน และข้อจำกัดของตัวคุณเองค่ะ เช่น คุณมีภาระรายจ่ายใดบ้างที่คุณต้องเสียทุก ๆ เดือน คุณมักจะใช้เงินไปกับเรื่องหรือสิ่งใดบ้าง จากนั้นให้กำหนดเป้าหมายทางการเงินของคุณ ตามระยะเวลาหนึ่ง อาจจะ 5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปี แต่ถ้าเป็นเป้าหมายระยะสั้นก็ไม่ควรน้อยกว่า 1 ปี เช่น “ฉันจะต้องมีเงินเก็บให้ XXX,XXX บาท ภายใน 3 ปี” หรือ “ฉันจะต้องมีรายรับ XXX,XXX บาท ภายใน 5 ปี” สิ่งสำคัญก็คือการกำหนดเป้าหมายจะต้องไม่ง่ายและเพ้อฝันจนเกินไป เพื่อไม่ให้คุณหย่อนยานในการบริหารเงินหรือสิ้นหวังจนเกินไปค่ะ ซึ่งเมื่อคุณได้เป้าหมายแล้ว ให้คุณเริ่มวางแผนจัดสรรการหาและใช้จ่ายเงินอย่างหมายสมและเป็นไปตามเป้าหมายที่คุณตั้งใจ เช่น การกันเงินที่ต้องการออมเอาไว้ก่อน หรือนำเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนในเรื่องต่าง ๆ โดยคาดคะเนให้ตัวเลขเป็นไปตามแผ่นที่วางเอาไว้ ถ้าปฏิบัติตามแผนแล้วตัวเองยังห่างไกลจากเป้าหมายที่เราว่างไว้ ก็ให้ลองปรับรายรับหรือรายจ่ายให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น
2. ทำบัญชีรายรับรายจ่าย
รวบรวมตัวเลขรายรับและรายจ่ายที่คุณได้รับและจ่ายในเดือนนั้น ๆ เช่น เงินเดือน ค่าโอที รายได้พิเศษอื่น ๆ ค่าเช่า ค่าอาหาร เป็นต้น แล้วทำการจดบันทึกเพื่อให้เห็นการเข้าออกของเงินทั้งหมดที่อยู่ในมือของคุณ ทำเป็นตารางให้เข้าใจง่ายและเป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วเมื่อเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง อาจจะเป็นสัปดาห์ หนึ่งเดือน หรือ สามเดือน ให้คุณนำยอดรวมในบัญชีมาดูว่าคุณมีเงินคงเหลือน้อยกว่า 15% หรือไม่ ตัวเลขในแต่ละเดือนติดลบหรือเปล่า ถ้ามีตัวเลขติดลบหรือเงินเก็บน้อยเกินไป ก็คงต้องกลับไปดูที่บัญชีของคุณอีกครั้งแล้วค่ะว่า มีรายจ่ายที่ไม่จำเป็นอันไหนที่เราควรจะลดหรือตัดออกหรือเปล่า การทำบัญชีรายรับรายจ่ายคือเครื่องมือสำคัญที่จะคอยรายงานและช่วยเตือนสติตัวคุณว่าสถานการณ์การเงินของคุณเป็นอย่างไรและเงินที่คุณคิดว่ามันหายไปที่จริงแล้วมันเดินไปอยู่ที่ไหนกันแน่
3. การออม
การเก็บออมควรแยกบัญชีเงินฝากเป็น 3 บัญชี ได้แก่ บัญชีใช้จ่ายเผื่อฉุกเฉิน บัญชีเงินออม และบัญชีเพื่อการลงทุน ซึ่งเคล็ดลับการออมนั้น มี 2 วิธี คือ ออมแบบลบสิบ โดยหักเงิน 10% ของรายได้ทุกเดือนมาเป็นเงินออม วิธีเหมาะกับคนที่มีวินัยในการออม ส่วนวิธีที่ 2 คือ ออมแบบเพิ่มสิบ สำหรับคนที่ชอบซื้อ เมื่อซื้อของสิ่งใดก็ตามให้เพิ่มเงินอีก 10% ของมูลค่ามาเป็นเงินออม
4. การบริหารหนี้ หนีกับดักทางการเงิน
หนี้มีทั้ง “หนี้ดี” และ “หนี้ฟุ่มเฟือย” ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการก่อหนี้ สำหรับหนี้ดี คือ หนี้ที่นำไปซื้อสิ่งของจำเป็น ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ เช่น บ้าน การศึกษาของลูก ส่วนหนี้ฟุ่มเฟือย คือ หนี้ที่เกิดจากเรื่องที่ไม่จำเป็น สุรุ่ยสุร่าย เช่น กู้เงินเพื่อซื้อฮาร์เลย์ไว้อวดสาว หรือการเปลี่ยนสมาร์ทโฟนทุกครึ่งปี ทั้งนี้วิธีการที่ดีที่สุดในการลดหนี้ คือ พยายามใส่เงินจำนวนมากที่สุดโดยไม่กระทบกับรายจ่ายประจำที่จำเป็นเพื่อชำระ หนี้สินที่ถูกคิดดอกเบี้ยแพงที่สุด เช่น บัตรเครดิต และหนี้นอกระบบ และที่สำคัญคุณจะต้องไม่สร้างนี้ที่ไม่จำเป็นเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย
5. วางแผนประหยัดภาษี
วิธีง่ายๆ คือ สรรหาค่าลดหย่อน ประกอบด้วย ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน เงินบริจาค ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่าเลี้ยงดูบิดา-มารดาที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เบี้ยประกันชีวิต และเงินลงทุนในกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือเพื่อสนับสนุนการออม และหากคุณรับงานนอก ควรวางแผนให้ดีว่า จะรับเงินเพื่อคำนวณเป็นเงินเดือน (ภงด.91) หรือรับเป็นงานเหมา ซึ่งต้องไปเสียภาษีเป็นเงินได้จากการประกอบธุรกิจทั่วไป (ภงด.90) ลองคำนวณดูว่าวิธีการเสียภาษีแบบใดจะประหยัดเงินคุณมากกว่า
6. ก่อนจูงมือไปแต่งงาน
คู่สมรสควรวางแผนอนาคตทางการเงินระยะ ยาวถึง 10 ปี และให้จัดแยกเงินออกเป็นหลายๆ บัญชี ตามวัตถุประสงค์ของการใช้เงินแต่ละประเภท จากผลการสำรวจพบว่า งานแต่งงานต้องใช้เงินถึงหลักแสนทีเดียว ค่าใช้จ่ายหลัก ๆ คือ ค่าจัดเลี้ยงในโรงแรม ค่าของชำร่วย ค่าการ์ดเชิญ และค่าถ่ายภาพคู่ในสตูดิโอ ทั้งนี้มีเคล็ดลับในการประหยัดค่าใช้จ่ายแต่งงาน ดังนี้
1) แต่งงานตอนกลางวัน โรงแรมส่วนใหญ่จะคิดราคาในการจัดเลี้ยงได้ถูกลง
2) แบ่งปันข้าวของกับคู่บ่าวสาวรายอื่น
3) ลดขนาดเค้กแต่งงานเหลือแค่ 2 ชั้นพอ
4) พยายามตกแต่งบรรยากาศในงานด้วยใบไม้และใช้ดอกไม้ให้น้อยลง
5) เลือกชุดแต่งงานเรียบง่าย หรือเช่าชุดแต่งงานเพื่อประหยัดงบ
และ 6) คำนวณจำนวนแขกให้พอเหมาะพอดี
7. แผนการเงินเพื่อซื้อรถยนต์
ค่าใช้จ่ายในการซื้อรถ ไม่ควรเกินอัตรา 15% ของรายได้ครอบครัว เพื่อไม่ให้เกิดภาระผ่อนส่งเกินตัว เมื่อคิดซื้อรถให้เลือกรถที่พอคุ้มค่ากับการใช้งาน ถ้าคุณวางแผนที่จะกู้เงินซื้อรถ ควรเลือกธนาคารหรือไฟแนนซ์ที่ให้อัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือเงื่อนไขที่ดีกว่า สูตรการคิดอัตราดอกเบี้ย ระหว่างธนาคารและบริษัทไฟแนนซ์จะแตกต่างกัน โดยธนาคารจะคิดแบบ “ลดต้นลดดอก” ในขณะที่ไฟแนนซ์จะคิดแบบ “ดอกเบี้ยรวมเงินต้น” ซึ่งมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ทางที่ดีควรคุยกับทั้ง 2ฝ่าย แล้วเปรียบเทียบว่าตัวเองเหมาะกับสิ่งใด
8. แผนการเงินเพื่อซื้อบ้าน
ควรประเมินกำลังซื้อก่อนจะซื้อบ้าน ราคาบ้านที่จะซื้อไม่ควรเกิน 30 เท่าของรายได้ต่อเดือนของครอบครัว และค่าใช้จ่ายในการผ่อนบ้านรายเดือนก็ไม่ควรเกิน 25-30% ของรายได้ต่อเดือน หลักสำคัญในการขอสินเชื่อบ้าน คือ “เลือกโครงการที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด กู้เงินให้น้อยที่สุด และผ่อนชำระให้เร็วที่สุด” โดยต้องมั่นใจว่ามีเงินสดมากพอที่จะวางดาวน์ เพราะโดยทั่วไป โครงการบ้านจัดสรรมักจะให้ผู้ซื้อจ่ายเงินดาวน์ซื้อบ้านประมาณ 20% และสามารถกู้ได้แค่ 80% ของราคาบ้าน
9. แผนการเงินยามเกษียณ
ก่อนอื่น คุณต้องถามตัวเองก่อนว่าจะเกษียณตอนอายุเท่าไร และถึงเวลานั้นอยากมีเงินเดือนใช้เดือนละเท่าไร สำหรับคนทำงานกินเงินเดือน แนะนำให้คุณประมาณการเงินเดือนสุดท้าย ณ วันที่จะเกษียณอายุแล้วหารด้วย 2ตัวเลขนั้นจะเป็นค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยที่คุณต้องใช้หลังเกษียณ ในการดูว่าเงินออมก้อนที่มีในปัจจุบันพอเพียงสำหรับการดำรงชีพในอนาคตหรือ ไม่ ให้คุณคำนวณเงินที่คุณควรมีเมื่อตอนเกษียณ โดยเอา 1 หาร 10คูณอายุปัจจุบันและคูณรายได้ทั้งปี หากคุณมีเงินออมน้อยกว่าที่คำนวณได้ คุณควรต้องเก็บเงินในสัดส่วนที่มากขึ้นจึงจะพอใช้จ่ายในอนาคต
10. การลงทุนและการจัดสำหรับลงทุน
ก่อนที่คุณจะลงทุน คุณควรคำนวณเสียก่อนว่า คุณได้แบ่งเงินไว้สำหรับใช้จ่ายกรณีฉุกเฉิน และกันไว้สำหรับสร้างหลักประกันเรียบร้อยแล้ว เงินที่เหลือจะเป็นเงินที่คุณนำมาลงทุนได้ ซึ่งประเภทของการลงทุน มีตั้งแต่ หุ้น ตราสารหนี้ กองทุนรวม และเงินฝาก เหล่านี้ผู้ลงทุนจะต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด
ทั้งหมดนี้เป็นวิธีบริหารเงินที่จะทำให้ทุกคนมีกินมีใช้แบบไม่จนตลอดปีและตลอดไป ไม่ว่าเศรษฐกิจจะแย่แค่ไหนก็ตาม
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ 24 ตุลาคม 2550
ภาพจาก http://infoleet.com/
Admin : Gossy